บทสรุปการบรรยายในพิธีรับปริญญา ของ สตีฟ จ๊อบส์
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเชิญมากล่าวบรรยายใน พิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ถือว่าดีที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งที่ความเป็นจริงผมนั้นไม่เคยได้รับปริญญาเลย และวันนี้ถือว่าเป็นวันที่ผมเข้าใกล้พิธีรับปริญญามากที่สุดในชีวิต
ในวันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องราวในชีวิตของผมเพียงแค่ 3 เรื่องครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก มันก็แค่เรื่อง 3 เรื่องเท่านั้นเอง
เรื่องแรกเกี่ยวกับ การเชื่อมต่อของจุด
ผมดรอปเรียนจากมหาวิทยาลัยรีด (Reed College) 6 เดือนแล้วกลับไปเรียนต่ออีก 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกอย่างจริงจัง ทำไมผมต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากว่าผมไปเข้ามหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายแพงมากๆ เงินเก็บทั้งหมดของพ่อแม่ผมต้องหมดไปกับค่าเรียนพิเศษของผม และผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากจะทำอะไรต่อไปกับชีวิต การเรียนมหาวิทยาลัยมันจะทำให้ผมค้นพบได้อย่างไรว่าผมต้องการอะไร ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลาออก นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวเลยทีเดียวที่ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ผมคิดว่า นั่นคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว จากการที่ผมลาออกนี้ จึงทำให้ผมสามารถไปเรียนในสิ่งที่ผมอยากเรียนได้
แต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะผมไม่มีที่พัก ผมต้องไปขอนอนพื้นห้องของเพื่อนๆ เก็บกระป๋องไปขายเพื่อหาเงิน และทุกๆคืนวันอาทิตย์ผมต้องเดินทาง 7 ไมล์ไปยังโบสถ์เพื่อให้ได้กินอาหารดีๆสักมื้อ แต่ประสบการณ์เหล่านี้กับให้ผมได้อะไรมากมายอย่างหาที่เปรียบมิได้
และผมได้ไปลงเรียนวิชา ประดิษฐ์ตัวอักษร กับมหาวิทยาลัยรีด (Reed College) ถือว่าที่นี่สอนวิชานี้ดีที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ ผมเรียนรู้การออกแบบตัวอักษร การเว้นระยะห่าง รวมถึงศิลปะในการประดิษฐ์ตัวอักษรหลายๆอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันมีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้ผมหลงใหลเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดที่ผมทำไปนั้นไม่เคยหวังที่จะนำมาใช้ประโยชน์ใดๆกับชีวิตของผมเลย แต่หลังจากนั้นอีก 10 ปี ผมได้ออกแบบ คอมพิวเตอร์แมคอินทอชเครื่องแรก (Macintosh) ทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้มา มันกลับเข้ามารวมกันในหัวผมอีกครั้ง และผมก็ได้ออกแบบให้มันอยู่ในเครื่อง MAC อีกด้วย มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีอักษรสวยๆให้ใช้
ถ้าผมไม่ลงเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร ทุกคนก็คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆมาใช้กันเหมือนในทุกวันนี้ ถ้าผมไม่ดรอปเรียน ผมก็คงไม่ได้ไปลงเรียนประดิษฐ์ตัวอักษร และเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณจะไม่มีอักษรสวยๆให้ใช้กันแน่นอน
มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถเชื่อมต่อจุดต่างๆโดยมองไปข้างหน้า (หมายถึง อนาคต) แต่คุณสามารถเชื่อมต่อจุดเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและชัดเจน หากคุณได้มองย้อนกลับไปข้างหลัง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร คุณจะต้องมีความมั่นใจและเชื่อมั่นว่า จุดในปัจจุบันนี้ของคุณมันจะต้องไปเชื่อมต่อกับจุดในอนาคตของคุณอย่างแน่นอน
สติปัญญา, โชคชะตา, ชีวิต , กรรม หรือจะอะไรก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำให้ผมต้องสิ้นหวัง และมันทำให้ชีวิตของผมนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เรื่องที่สองของผม เกี่ยวกับ ความรักและการสูญเสีย
ผมถือว่าโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักในช่วงต้นชีวิต โดยผมกับเพื่อนชื่อ วอซ (Woz) ได้ตั้งบริษัท แอปเปิ้ล (Apple) ในโรงรถของบ้านผม ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นอีก 10 ปีบริษัทของผมมีพนักงานมากกว่า 4,000 คน และเป็นบริษัทพันล้าน ตอนที่ผมอายุ 30 ปี เราได้ประดิษฐ์ผลงานที่ดีที่สุดของเราคือ คอมพิวเตอร์แมคอินทอช (Macintosh) และช่วงนั้นผมก็ถูกไล่ออก บางคนสงสัยว่าบริษัทของผมเอง ทำไมผมถึงต้องออก เนื่องจากเมื่อบริษัทใหญ่ขึ้นผมก็ต้องจ้างผู้คนมาช่วยผมบริหารงานมากขึ้น และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องแตกแยกกัน โดยที่คณะกรรมการเห็นไปทางเดียวกัน ดังนั้นผมก็จึงต้องออก
หลังจากผมออกแล้ว ผมก็ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรต่อ ผมทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ผมต้องไปขอโทษทุกๆคนที่ทำให้เรื่องราวมันจบลงไม่ค่อยสวย ผมถึงกับคิดจะหันหลังให้กับธุรกิจประเภทนี้ไปเลย แล้วผมก็รู้สึกได้ว่า ผมยังรักงานในบริษัท Apple อยู่ ถึงผมจะโดนปฏิเสธแต่ผมก็รักมัน ผมจึงตัดสินใจว่าผมจะเริ่มกับมันใหม่อีกครั้ง
และแล้วอีก 5 ปีหลังจากนั้น ผมได้ตั้งบริษัท NeXT และบริษัท Pixar ขึ้นมา และช่วงนั้นผมก็ได้พบกับภรรยาที่แสนสวยของผม สำหรับบริษัท Pixar นี้ได้สร้างผลงานภาพยนตร์ Animation เรื่องแรกของโลก นั่นคือ Toy Story และปัจจุบัน Pixar กลายเป็น Studio เกี่ยวกับ Animation ที่ประสบความสำเร็จที่สุดอีกแห่งของโลก หลังจากนั้น Apple ก็มาซื้อ NeXT แล้วผมก็ได้กลับเข้าสู่ Apple อีกครั้ง
สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผมไม่โดนไล่ออกจาก Apple มันเปรียบเสมือน ยาที่มีรสขม ถึงแม้รสชาติมันจะขมมากเพียงใด แต่คนไข้ก็ยังต้องการมัน ผมรู้แค่ว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตผมยังเดินหน้าต่อไปได้ คือการทำในสิ่งที่ผมรัก งานเป็นสิ่งที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในชีวิตคุณ ดังนั้นวิธีที่จะทำให้คุณพอใจได้อย่างแท้จริงคือ จะต้องเชื่อว่างานที่คุณทำนั้นวิเศษ และการที่จะได้ทำงานที่วิเศษนั้น คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ
หากคุณยังหาสิ่งที่คุณรักไปพบ จงหาต่อไปอย่าท้อถอย แล้วคุณจะรู้เองเมื่อคุณได้พบมัน แล้วจะเกิดความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม มันจะยิ่งทำให้เรารู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจงตามหามันต่อไป อย่าได้ท้อถอย
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับ ความตาย
เมื่อผมอายุ 17 ปีผมได้อ่านประโยคที่ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวัน ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต แล้วจงมั่นใจได้เลยว่า สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นจริงอย่างที่คุณคิด” ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลา 33 ปี ผมก็จะถามตัวเองที่หน้ากระจกทุกเช้าว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมต้องการจะทำในสิ่งที่จะไปทำวันนี้หรือเปล่า” หากผมตอบว่า “ไม่” ผมก็รู้ได้เลยว่า คงต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างซะแล้ว
การที่คิดว่า “ไม่ว่าจะยังไง คุณต้องตาย” เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก เพื่อใช้หลีกเลี่ยงการติดกับความคิดบางอย่าง คุณเกิดมาตัวเปล่า ไม่มีเหตุผลใดเลยที่คุณจะไม่ทำตามหัวใจของตัวเอง
เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้วผมเพิ่งพบว่าผมเป็นมะเร็งหมอบอกว่าไม่มีทางรักษาได้ นั่นคือให้คุณทำใจรับความตายได้เลย และไปสั่งเสียกับครอบครัวได้แล้ว ช่วงนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ผมเข้าไปใกล้ชิดกับความตายมากที่สุด แต่ว่า ไม่มีใครที่ไม่ต้องตาย ทุกคนจะต้องตาย ขอโทษที่เล่าเหมือนเป็นละคร แต่นี่มันคือเรื่องจริงที่ต้องรับให้ได้
ดังนั้นช่วงชีวิตที่คุณมีอยู่ ไม่ควรไปเสียเวลาเติมเต็มให้กับผู้อื่นมากนัก อย่าไปติดกับกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ อย่าไปขึ้นกับผลความคิดของผู้อื่น อย่าให้ความคิดเหล่านั้นมากลบเสียงของคุณเอง
ที่สำคัญที่สุด จงกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาติญาณของคุณ ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม เพราะมันรู้ถึงสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง เรื่องอื่นๆถือว่าเป็นเหตุผลที่รองลงมา
ตอนเด็กผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalog ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่า “Stay Hungry, Stay Foolish” (ประโยคนี้สามารถตีความได้หลายทางครับ ถ้าให้แปลตรงๆก็ อยู่อย่างหิวกระหาย อยู่อย่างโง่เขลา แต่ถ้าในความคิดของผมคือ ให้เรากระหายที่จะใฝ่รู้ แต่จงทำตนให้โง่เขลา เพื่อที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาตลอด และให้เรากล้าที่จะมีความฝันและมีจินตนาการครับ) ดังนั้นวันนี้ที่พวกคุณเพิ่งจบการศึกษาแล้วจะต้องออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะภาวนาสิ่งนี้ให้คุณ
“Stay Hungry, Stay Foolish”